เมมฟิส เดอปาย ศูนย์หน้าตัวเก่งของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ได้สร้างชื่อเข้าสู่หน้าประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลดัตช์อีกครั้ง หลังจากกลายเป็นเจ้าของสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติฮอลแลนด์อย่างเป็นทางการ โดยแซงหน้าตำนานรุ่นพี่อย่างเวสลีย์ สไนเดอร์ และอาร์เยน ร็อบเบน จากการทำแอสซิสต์ลูกสำคัญในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ “อัศวินสีส้ม” เปิดบ้านถล่มฟินแลนด์ไปด้วยสกอร์ 4-0 ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเติบโตของเดอปายในฐานะผู้นำทีมชาติ ที่ก้าวผ่านช่วงเวลาทั้งรุ่งเรืองและยากลำบาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่แห่งฟุตบอลเนเธอร์แลนด์อย่างแท้จริง ซึ่ง สมัคร ufabet ล่าสุด โปรโมชั่นจัดเต็ม ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถึงความหมายของสถิตินี้ว่ามันคือ “บทพิสูจน์ของความต่อเนื่องและความเสียสละ” ของนักเตะที่ถูกมองว่าเป็นทั้งเพลย์เมกเกอร์และดาวยิงในคนเดียวกัน
เกมที่เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ดังกล่าวเกิดขึ้นในค่ำคืนที่อัมสเตอร์ดัม อารีนา เมื่อเนเธอร์แลนด์ลงสนามพบกับฟินแลนด์ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2026 เดอปายได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองหน้าตัวหลอกตามแท็กติกของโรนัลด์ คูมัน โดยมีโคดี้ กักโป และชาบี ซิมอนส์ ยืนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง นาทีที่ 25 ของเกม เดอปายแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระดับสูง เมื่อรับบอลจากเฟรงกี้ เดอ ยอง แล้วจ่ายทะลุช่องให้กักโปหลุดเข้าไปยิงเสียบเสาเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ให้ทีม ซึ่งจังหวะนี้เองทำให้เดอปายสร้างสถิติแอสซิสต์รวมทั้งหมดในนามทีมชาติแตะที่ 31 ครั้ง กลายเป็นผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติฮอลแลนด์ทันที
หลังจบเกม เดอปายได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวด้วยความปลื้มใจว่า “ผมภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทีมชาติ ทุกครั้งที่ผมใส่เสื้อสีส้ม มันหมายถึงความภาคภูมิใจของทั้งประเทศ การได้ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูไม่ต่างอะไรจากการทำประตูเอง” ข้อความนี้ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากแฟนบอลทั่วประเทศ และเพื่อนร่วมทีมหลายคนต่างเข้ามาแสดงความยินดี รวมถึงเวอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีม ที่กล่าวชื่นชมว่า “เมมฟิสคือหัวใจของทีม เขาไม่เพียงยิงประตูได้ แต่ยังรู้วิธีสร้างโอกาสให้คนอื่น เขาคือผู้นำที่แท้จริงในสนาม”
ตลอดเส้นทางอาชีพในนามทีมชาติ เดอปายมักถูกพูดถึงในฐานะนักเตะที่มีพรสวรรค์แต่ต้องต่อสู้กับแรงกดดันมหาศาล นับตั้งแต่ติดทีมชาติครั้งแรกในปี 2013 ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาน กัล เขาได้ลงเล่นฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล และกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงจากการยิงสองประตูช่วยทีมคว้าอันดับสามของโลก แต่เส้นทางหลังจากนั้นกลับไม่ง่ายนัก เขาต้องเจอกับอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง รวมถึงฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอในสโมสร โดยเฉพาะช่วงที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2015 ซึ่งไม่สามารถโชว์ศักยภาพเต็มที่ได้ จนถูกขายต่อไปให้โอลิมปิก ลียง
แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เดอปายไม่เคยยอมแพ้ เขาใช้เวลาที่ลียงพัฒนาตัวเองทั้งในด้านจิตใจและเกมการเล่น จากกองหน้าที่มักพึ่งพาความเร็วและเทคนิค เขากลายเป็นผู้เล่นที่มีความเข้าใจเกมและสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เขากลับมาเป็นตัวหลักของทีมชาติอีกครั้งภายใต้ยุคของแฟรงค์ เดอ บัวร์ และต่อมาจนถึงยุคของคูมัน เขาไม่เพียงเป็นดาวยิงสูงสุดของทีมในยุคปัจจุบัน แต่ยังเป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสให้เพื่อนมากที่สุดอีกด้วย
ทางเข้า ufabet ออโต้ เข้าเร็วไม่สะดุด วิเคราะห์ว่า การที่เดอปายกลายเป็นเจ้าของสถิติแอสซิสต์สูงสุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติ เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาได้เปลี่ยนจาก “ดาวรุ่งที่ทุกคนคาดหวัง” มาเป็น “ผู้นำที่ทุกคนเชื่อมั่น” อย่างแท้จริง “ในยุคของฟุตบอลสมัยใหม่ การเป็นกองหน้าที่ดีไม่ใช่แค่ยิงประตูได้ แต่ต้องมีส่วนร่วมกับเกม การเคลื่อนไหว การเปิดพื้นที่ และการสร้างจังหวะให้เพื่อนร่วมทีม เมมฟิสคือภาพสะท้อนของแนวคิดนั้น” ระบุ พร้อมชี้ว่า สิ่งที่ทำให้เดอปายโดดเด่นกว่ากองหน้าร่วมชาติหลายคนในอดีตคือความยืดหยุ่นทางแท็กติก เขาสามารถเล่นได้ทั้งศูนย์หน้า ตัวรุกฝั่งซ้าย และเพลย์เมกเกอร์ ซึ่งทำให้เขาเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยุคใหม่
ในแง่ของสถิติ เดอปายได้แอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมไปแล้วกับนักเตะกว่า 20 ราย ตั้งแต่ยุคของโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่างกักโปและซิมอนส์ ความต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงอายุการใช้งานในระดับสูงของเขาที่นานเกือบสิบปีในทีมชาติ และแม้ในปัจจุบันเขาจะอายุ 30 ปี แต่ยังคงเป็นหนึ่งในกำลังหลักที่ขาดไม่ได้ของ “อัศวินสีส้ม” โดยเฉพาะในรายการใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

นอกจากเรื่องสถิติแล้ว ความสำเร็จครั้งนี้ยังสะท้อนถึงพัฒนาการของฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ในยุคใหม่ ภายใต้การนำของคูมัน ทีมเน้นการเล่นที่ยืดหยุ่นมากขึ้น มีการเปลี่ยนระบบจาก 4-3-3 แบบดั้งเดิม มาใช้ 3-4-1-2 ที่ให้เดอปายมีบทบาทอิสระมากขึ้นในการเคลื่อนที่ลงต่ำและสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้เขามีโอกาสทำแอสซิสต์ได้มากกว่าเดิม ในขณะที่ตัวรุกคนอื่นอย่างกักโปและมาลาเซียได้อิสระในการเติมเกมบุกจากด้านข้าง ซึ่งช่วยให้ทีมมีความหลากหลายในการโจมตีมากขึ้น
ในเกมกับฟินแลนด์ที่เขาทำสถิติได้ เดอปายไม่ได้เพียงแอสซิสต์เท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมกับอีกสองประตู โดยเฉพาะจังหวะที่เขาลากหลอกกองหลังสองคนก่อนจ่ายย้อนให้ซิมอนส์ยิงเข้าไปอย่างเฉียบคม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของเกมนี้ทันที เขาได้รับเสียงปรบมือจากแฟนบอลทั้งสนามเมื่อถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงท้ายเกม และได้รับการยกย่องจากสื่อท้องถิ่นว่าเป็น “ผู้เล่นที่สร้างความแตกต่าง” ในเกมรุกของทีม
หลังจบเกม โรนัลด์ คูมัน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “เมมฟิสคือหัวใจของเกมรุกเรา เขาไม่ใช่แค่คนที่ยิงได้ แต่ยังสร้างสรรค์เกมได้ เขาเข้าใจระบบของเราและช่วยให้นักเตะรุ่นใหม่อย่างซิมอนส์หรือกักโปเล่นได้อย่างมั่นใจขึ้นมาก” คำพูดนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เดอปายมีบทบาทมากกว่าแค่ผู้เล่นในสนาม แต่ยังเป็นผู้นำในเชิงจิตวิทยาที่ช่วยยกระดับทีมทั้งระบบ
วิเคราะห์เสริมว่า “ในแง่ของอิทธิพล เดอปายมีความสำคัญต่อทีมชาติไม่ต่างจากสไนเดอร์ในยุค 2010 หรือโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ในช่วงปลายอาชีพ เพราะเขาคือจุดศูนย์กลางที่ทีมหมุนรอบ ทั้งในแง่แท็กติกและอารมณ์ของทีม” การมีผู้เล่นแบบนี้คือสิ่งที่ทำให้เนเธอร์แลนด์ยังคงเป็นทีมที่มีเสถียรภาพในยุโรป แม้จะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของผู้เล่นหลายรุ่นก็ตาม
นอกเหนือจากในสนาม เดอปายยังได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำทางจิตใจและสัญลักษณ์ของความพยายาม เขาเคยผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็ก เติบโตในครอบครัวที่มีปัญหา และใช้ฟุตบอลเป็นหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนชีวิตของตนเอง ความเข้มแข็งทางจิตใจนี้สะท้อนออกมาในวิธีการเล่นของเขาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา “ผมเรียนรู้ว่าทุกอย่างในชีวิตต้องต่อสู้ ไม่มีอะไรได้มาง่าย และนั่นคือสิ่งที่ผมนำมาใช้ในฟุตบอล” เดอปายกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อดัตช์เมื่อปีที่แล้ว
อีกจุดเด่นที่ทำให้แฟนบอลรักเขาคือบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร เดอปายมักจะแสดงความมั่นใจในสนาม ทั้งท่าดีใจที่เป็นเอกลักษณ์ การสวมหมวก และรอยสักที่เต็มไปด้วยความหมาย แต่เบื้องหลังความมั่นใจนั้นคือการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ใช้เวลาฝึกซ้อมมากที่สุดในทีม และมักจะช่วยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมระหว่างการซ้อมอยู่เสมอ
ในสายตาของแฟนบอลทั่วโลก เดอปายอาจไม่ใช่กองหน้าที่มีจำนวนประตูถล่มทลายแบบเออร์ลิง ฮาแลนด์ หรือคีเลียน เอ็มบัปเป้ แต่เขาคือผู้เล่นที่มีอิทธิพลต่อเกมอย่างมหาศาลในทุกมิติ ทั้งการสร้างสรรค์ การเคลื่อนไหว และการเชื่อมเกม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่โค้ชทุกคนอยากมีไว้ในทีม และนั่นคือเหตุผลที่ ufabet เล่นผ่านมือถือ รองรับ iOS และ Android สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า “เมมฟิส เดอปาย คือนิยามของผู้เล่นยุคใหม่ ที่ไม่ได้วัดคุณค่าจากจำนวนประตู แต่จากผลกระทบที่เขามีต่อทีมในทุกการสัมผัสบอล”
เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ทีมชาติฮอลแลนด์ จะเห็นว่านักเตะที่สามารถทำสถิติในระดับนี้ได้ต้องมีทั้งความสม่ำเสมอและความเข้าใจเกมในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นเดนนิส เบิร์กแคมป์, ร็อบเบน หรือสไนเดอร์ ต่างก็เคยเป็นศูนย์กลางของทีมในยุคของตน และวันนี้ เดอปายก็ได้กลายเป็นชื่อที่ถูกจารึกไว้ข้างพวกเขาอย่างสง่างาม
สถิติแอสซิสต์มากที่สุดของเมมฟิส เดอปายจึงไม่ใช่เพียงบันทึกบนกระดาษ แต่คือเรื่องราวของการเดินทางจากเด็กชายที่เติบโตในครอบครัวลำบาก สู่การเป็นผู้นำทีมชาติในระดับโลก มันคือภาพสะท้อนของความอดทน ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความรักที่มีต่อเกมฟุตบอลอย่างไม่สิ้นสุด และในขณะที่เขายังไม่คิดถึงการอำลาทีมชาติ เดอปายก็ประกาศชัดเจนว่า “ผมยังไม่จบ ผมยังอยากสร้างสถิติใหม่ให้ทีมนี้อีกมาก เพราะทีมชาติเนเธอร์แลนด์คือบ้านของผม”
คำพูดเรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แฟนบอลทั่วประเทศที่ต่างเชื่อว่า ชายผู้ชื่อเมมฟิส เดอปาย จะยังคงเป็นสัญลักษณ์ของยุคทองใหม่ของอัศวินสีส้ม และในขณะที่โลกฟุตบอลกำลังรอชมบทต่อไปของเขา ได้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “บางครั้งความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลไม่ได้อยู่ที่การยิงประตูมากที่สุด แต่อยู่ที่การทำให้เพื่อนร่วมทีมยิงได้มากที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เมมฟิส เดอปาย ทำมาตลอดเส้นทางของเขา.”